วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หน่วยที่๔


หน่วยที่ ๔

หน่วยที่ 4
ซอฟต์แวร์(Software)
ซอฟต์แวร์ คือ การลำดับขั้นตอนการทำงานของคำสั่งที่จะทำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไรเป็นชุดของโปรแกรมหลายๆโปรแกรมนำมารวมกันให้สามารถทำงานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้องการ  รามองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้แต่เราสามารถสร้างได้ จัดเก็บ และนำมาใช้งานหรือเผยแพร่ได้ด้วยสื่อหลายชนิด เช่น แผ่นบันทึก แผ่นซีดี แฟล็ชไดร์ฟ ฮาร์ดิสก์ เป็นต้น
หน้าที่ของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์   ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์ เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท
ประเภทขอซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์แบ่งออกป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
ซอฟต์แวร์ระบบ (System  Software)
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
และซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ
๑.ซอฟต์แวร์ระบบ (System  Software)
เป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับระบบ หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบ คือ ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น รับข้อมูล จากแผงแป้นอักขระ แล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอภาพหรือนำออกไปยังเครื่องพิมพ์ จัดการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำรอง
System  Software  หรือโปรแกรมาระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS , Windows , Unix , Linux รวมทั้งโปรแกรมโปรคำสังในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic , Fortran . Pascal , Cobol , เป็นต้น
นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบ เช่น Norton"S Utilities ก็นับเป็นปรแกรมระบบด้วยเช่นกัน
หน้าที่ของซอฟต์แวร์ระบบ
1.ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก เช่น รับรู้การกดแป้นต่างๆ บนแผงแป้นอักขระส่งระหัสด้วยอักษรออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ ติดต่อกับอุปกรณ์รับเข้า และส่งออกอื่นๆเช่น เมาส์ ลำโพง เป็นต้น
2.ใช้ในการจัดการหน่วยความจำเพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุในหน่วยความจำหลักหรือในทำนองกับกันคือ นำข้อมูลจากหน่อยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก
3.ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นเช่น การขอดูรายการในสารระบบ ( Directory) ในแผ่นบันทึกการทำสำเนาแฟ้มข้อมูล
ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐานที่ใช้กันทั่วไป แบ่งออกเป็น ระบบปฎิบัติการและตัวแปรภาษา

ซอฟต์แวร์ระบบแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1 ซอฟต์แวร์ระบบปฎิบัติการ ( Operating System : OS )
2 ตัวแปลภาษา
1.ซอฟต์แวร์ระบบปฎิบัติการ ( Operating System : OS )หรือชื่อเรียกย่อๆว่า โอเอส
ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฎิบัตการที่นิยมใช้กันมากรู้จักกันดี เช่น ดอส วินโดวส์ ยูนิกซ์ ลีนุกซ์ แมคอินทอช

1.ซอฟต์แวร์ระบบปฎิบัติการ ( Operating System : OS )
    1 ดอส(
เป็นซอฟตืแวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว การใช้งานจึงใช้คำสั่งเป็นตัวอักษร ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ ไมโครคอมพิวเตอร์ในอดีต ปัจจุบันระบบปฎิบัติการ ดอส นั้นมีการใช้งานน้อยมาก
   2วินโดวส์(windows) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอส โดยให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานได้จากเมาส์มากขึ้นแทนการใช้เป้นพิมพ์เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ยังสามารถทำงานหลายงานพร้อมกันได้โดยงานแต่ละงานจะอยู่ในกรอบช่องหน้าต่างบนจอภาพ การใช้งานเน้นรูปแบบกราฟฟิก ผู้ใช้งานสามารถใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้เพื่อเลือกตำแหน่งที่ปรากฎบนจอภาพ ทำให้ใช้งานคอมพิมเตอร์ได้ง่าย ระบบปฏิบัติการวินโดวส์จึงได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
3 ยูนิกซ์ (Unic) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด (Open system) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรือใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียวกัน ยุนิกซ์ยังถุกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะที่มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกันที่เรียกว่าระบบหลายผู้ใช้ (multiusers) และสามาถรทำงานได้หลายๆงานในเวลาเดียวกันในลักษณะที่เรียกว่าระบบหลาย
ภารกิจ (multitasking) ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์จึงนิยมใช้กับเครื่องที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เพื่อใช้งานร่วมกันหลายๆเครื่องพร้อมกัน
4.ลีนุกซ์ (linux) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากระบบยุนิกซ์ เป็นระบบซึ่งมีการแจกจ่าย โปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยกันพัฒนาคุณสมบัติของนะบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์เป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ที่ทำงานบนระบบลีนุกซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในกลุ่มของกูส์นิว (GNU) และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือระบบลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่แจกฟรี f(Ferr ware) ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ระบบลีนุกซ์ สามารถทำงานได้บนซีพียูหลายตระกูลเช่น อินเทล (PC Intel) ดิจิตอล (Digital Alpha Computer) และชันสปาร์ค (SUN SPARE) ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ ยังไม่สามารถแทนที่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์บนซีพียูได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ผู้ใช้จำนวนมากได้หันมาใช้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนลีนุกซ์มากขึ้น
5.แมคอินทอช (macintosh) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอชส่วนมากนำไปใช้งานด้านกราฟฟิก ออกแบบและจัดแต่งเอกสาร นิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆ
นอกระบบปฏิบัติการที่กล่าวมาแล้วยังมีระบบปฏิบัติการอีกมาก เช่นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อนให้คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันเป็นระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการเน็ตแวร์ นอกจากนี้ยังมีระบบปฏิบัตการที่ใช้งานเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่สร้างขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่งโดยเฉพะ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา
ชนิดของระบบปฏิบัติการ สามารถจำแนกตามการใช้งานออก 3 ชนิดด้วยกัน คือ
1.ประเภทใช้งานเดียว (Single-tasking) ระบบปฏิบัติงานประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น ใช้ในเครื่องขนาดเล็กอย่างไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบปฏิบัติการดอสเป็นต้น
2.ประเภทใช้หลายงาน (Multi-tasking) ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน Windows 98 ขึ้นไป และUNIX เป็นต้น
3.ประเภทใช้งานหลายคน (Multi-user) ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล ทำให้ในขณะใดขณะหนึ่งมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคน แต่ละคนจะมีสถานีงานของตนเองเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ จึงต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถสูง เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถทำงานเสร็จในเวลา เช่นระบบปฏิบัติการ Windows NT และ UNIX เป็นต้น
2.ตัวแปลภาษา
   การพัฒนาซอฟแวร์ต้องอาสัยซอฟแวร์ที่ให้ในการแปลภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง
   ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจได้ และเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟแวร์ในภายหลังได้
   ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษา
ซึ่งภาษาระดับสูงได้แก่ ภาษาBasic ,Pascal ,C และภาษาโลโก้ เป็นต้น
   นอกจากนี้ ยังมีภาษษคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมากได้แก่ Fortran ,Cobol, และภาษาอาร์พีจี
ซอฟต์แวร์ประยุกต์
2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์
(Application Software)
  ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ทำงานเฉพาะด้าน เช่น การจัดพิมพ์รายงาน การนำเสนองาน การจัดทำบัญชี การตกแต่งภาพ หรือการออกแบบเว็บไซต์ เป็นต้น
ประเภทของซอฟแวร์ประยุกต์
แบ่งตามลักษณะการผลิต จำแนกได้ 2 ประเภท คือ
1. ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ (proprietary software)
2. ซอฟแวร์ที่หาชื้อได้ทั่วไป (Packaged software) มีทั้งโปรแกรมเฉพาะ และโปแกรมมาตรฐาน
ประเภทของซอฟแวร์ประยุกต์
 แบ่งตามกลุ่มการใช้งาน จำแนกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1. กลุ่มการใช้งานทางธุรกิจ (Business)
2. กลุ่มการใช้งานด้ารกราฟฟิกและมัลติมีเดีย (Graphic and Multimedia)
3. กลุ่มการใช้งานบนเว็บ (Wed and communications)
กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ
ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกนำมาใช้โดยมุ่งหวังให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การจัดพิมพ์รายงานเอกสาร นำเสนองานและการบันทึกนัดหมายต่างๆ ตัวอย่าง เช่น
โปรแกรมประมวลคำ อาทิ Microsoft Word ,son staroffice Writer
โปรแกรม ตารางคำนวณ อาทิ Microsoft Exce ,sun son staroffice cals
โปรแกรมนำเสนองาน อาทิ Microsoft Powerpoin
กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟฟิก และมัลติมีเดีย
ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยการจัดการด้านงานกราฟฟิกและมัลติมิเดีย เพื่อให้งานง่ายขึ้น เช่น ใช้ตกแต่งงาน วาดรูป ปรับเสียง ตัดต่อ ภาพเครื่อนไหว และการสร้างและการออกแบบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น
โปรแกรมออกแบบ อาทิ Microsoft Visioprofessional
โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CoreLDRAW,Adobe photoshop
โปรแกรมตัดต่อวีดีโอและเสียง อาทิ Adobe  premiere , pinnacle studio DV
โปแกรมสร้างสือมัลติเมียเดีย อาทิ Adobe Authorware , Toolbook Insttructor, Adobe Director
โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash , Adobe Dreamweaver
กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสือสาร
เมื่อเกิดการโตของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซอฟแวร์กลุ่มนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะเพิ่มมากขึ้น เช่น โปรแกรมการตรวจเซ็คอีเมลการท่องเว็บไซต์ การจัดการดูแลเว็บ และการส่งข้อความติดต่อสื่อสาร การประชุมทางไกลผ่านเครือข่าย ตัวอย่างโปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่
โปแกรมจักการอีเมล อาทิ Microsoft Outlook
โปรแกรมท่องเว็บ อาทิ Microsoft Internet Explorer
โปแกรมประชุมทางไกล อาทิ Microsoft Netmeeting
โปรแกรมส่งข้อความด่วน (Instant Messsaging) อาทิ MSN Messenger
โปรแกรมสนทนาบนอินเทอร์เน็ต อาทิ PIRCH , MIRCH
ความจำเป็นของการใช้ซอฟแวร์
การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีความยุ่งยากมากเพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอัษร เป็นประโยค ข้อความ ภาษษในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดัยสูงมีอยู่มากมายบางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการคำนาณทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านจัดการข้อมูล
ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
เมื่อมนุษย์ต้องการช่วยในการทำงารนมนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบการที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง
ถ้าเปรียบเทียบกัยชีวิตประจำวันแล้วเรามีภาษาที่ใชในการติดต่อซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์ต้องการจะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และปฏิบัตฺตามจะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้เราเรียกสื่อกลางนี้ว่าภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุกต์ด้วย
ภาษาเครื่อง
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญษณทางไฟฟ้าใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อง
การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันทีแต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นที่เป็นตัวอักษร
ภาษาแอสเซมบลี Assembl  Languages
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 ถัดจากภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์
แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบลีก็ยังมีความใกล้เคียงภาษาเครืองอยู่มาก และจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่าแอสเซมเบลอร์(Assembler)เพื่อแปลชุดภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง
ภาษาระดับสูง
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า Statements ที่มีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้ที่เขียนโปรแกรมสามารถเข้าใจชุดคำสั่งเพื่องสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานง่ายขึ้น ผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น เนื่องจากภาษาระดับสุงใกล้เคียงภาษามนุษย์ ด้วยตัวแปลระดับสูงเพื่อเป็นภาษาเครื่องมีอยู่ 2 ชนิด ด้วยกัน คือ
คอมไพเลอร์ (Compile) และ อิเทอร์พรีเตอร์ Interpreter
คอมไพเลอร์ จะทำการแปลภาษาที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อนแล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
อินเทอร์พรีเตอร์ จะทำการแปลที่ละคำสั่ง แล้วให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำลำดับต่อไป ข้อแตกต่างระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรีเตอร์จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลที่ละคำสั่ง
โครงสร้างเรือข่ายคอมพิวเตอร์
1 เคือข่านยเฉพาะที่